Friday, September 26, 2014

Gunpla แบ่งเป็น Grade อะไรบ้าง?

มาทำความรู้จักเกรดต่างๆของ Gunpla กันดีกว่า 

Gunpla แบ่งตามขนาดต่างๆ ดังนี้ 

1. High Grade ( HG ) 
                
               High Grade จะถูกเรียกย่อ ๆ กันในวงการว่า HG ปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2 ขนาดคือ 
*HG ขนาด 1/144 ซึ่งจะมีความสูงประมาณ 13 ซม. ซึ่งถือว่าเป็นขนาดเล็กที่สุดในตระกูลของกันพลาถ้าไม่รวม SD ส่วนราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1200 เยน ขึ้นไป 

*HG ขนาด 1/100 ซึ่งจะมีความสูงประมาณ 18 ซม. ก็จะใหญ่ขึ้นมาอีก ราคาเริ่มต้นจะเริ่มตั้งแต่ 2000 เยน ขึ้นไป ปัจจุบันนี้ HG นั้นด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนทำให้ ตอนนี้ HG ซีรีย์รุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่ภาค Seed เป็นต้นมา สามารถแยกสีออกมาได้ดี และจุดขยับที่ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถจัดท่าทางได้หลากหลาย สติกเกอร์และดีคอลมีขายออกมาตามซีรีย์ของหุุ่นกันเลยทีเดียว HG 1/144 

วีธีดูว่ากล่องนี้ใช่ HG 1/144 หรือเปล่า วิธีการดูที่บนกล่องเลย จะมีสัญลักษณ์เขียนว่า HG อยู่ด้านบนกล่องและด้านข้างกล่อง รวมถึงบอกด้วยว่าขนาดเท่าไหร่ และเป็น Gundam จากซีรีย์ไหน


 

HG 1/100       

วิธีการดูนั้นก็เหมือนกับ 1/144 ดูได้ด้านบนและด้านข้างของกล่อง HG 1/100 นั้นในภาคหลัง ๆ ที่ทำออกมาตั้งแต่ภาค Seed นั้นถูกพัฒนาจุดขยับและการแยกสีออกมาได้ดีมาก รายละเอียดดีกว่า 1/144 จนมาถึงภาค OO นับว่าทำออกมาได้ดีที่สุดในตอนนี้ของ HG และมีขนาดใหญ่กว่าด้วย 




ที่นี้ HG ตรงด้านบนกล่องก็จะเขียนแบ่งออกเป็นหลายแบบ เช่น HGUC , HGAW , HG ภาคอื่น ๆ อีกงั้นขออธิบายไปทีละอันแล้วกัน


HGUC

High Grade Universal Century หมายถึง กันพลาไฮเกรดที่ปรากฏอยู่แต่ในศักราช UC (Universal Century) เช่นกันดั้มภาคแรก-0079, Z, ZZ เป็นต้น HGUC นั้นเป็นการพัฒนาเอากันพลาเก่าๆ และ/หรือ พัฒนากันพลาตัวใหม่ๆที่ยังไม่ออก มาทำเป็นซีรีย์ในรูปแบบของ 1/144 ซึ่งขอบอกได้เลยว่า HGUC นั้น เป็น HG 1/144 ที่มีคุณภาพค่อนข้างจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในปัจจุบัน ทั้ง สัดส่วนที่สมจริงขึ้น การแยกสีที่มากกว่ากันพลาสมัยก่อน จุดขยับ-การจัดท่าทาง สติกเกอร์และดีคอลจัดจำหน่ายออกมาเป็นซีรีย์ HGUC ที่ครองใจนักสะสมกันพลาขนาด 1/144 อย่างเหนียวแน่นเรื่อยมา บางตัวนั้นแม้จะมีขนาดแค่ 1/144 แต่กลับมีสีสันและรายละเอียดงดงามแม้ไม่ได้ตกแต่งเพิ่มเติม ยิ่งในภาคหลัง ๆ ที่ทำออกมาเช่น ภาคยูนิคอนทำออกมาได้ดีทีเดียว




HGFC

High Grade Future Century คือกันพลาในภาค G Gundam นั้นเองแต่ก่อนตอนออกมาเป็น HG ครั้งแรกนั้นคุณภาพ สัดส่วนและการทำสีมาไม่ดีเท่าที่ควรการจัดท่าทางทำได้ไม่ได้มาก แต่หลังจากปี 2010 ทาง Bandai ได้นำกลับมาทำใหม่ ซึ่งการแยกสีและจุดขยับทำได้ดีกว่าเดิมมากเลยทีเดียว 




HG Gundam-W

     เป็น HG ที่ออกมาเป็นของซีรีย์ Gundam Wing ซึ่งภาคนี้ทำออกมานานแล้วยังไม่มีการ Reproduct ทำขึ้นมาใหม่ แต่ของเก่ายังพอหาซื้อได้ แต่คุณภาพในยุคนั้นอาจจะออกมาไม่ดีสู้รุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมาไม่ได้ สัดส่วนไม่ดี แยกสีออกมาน้อย รวมถึงจุดขยับต่าง ๆ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ 

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงด้านบนบอกว่าเป็น ภาคในของ Gundam Wing กรอบสีแดงด้านล่างบอกว่าเป็น HG ซีรีย์ W


HGAW

     HGAW เป็นภาคของ After War หรือที่เราเรียกว่าภาคของ Gundam X ซึ่งตอนแรกที่ออกมาคุณภาพของพลาสติกจะเหมือนกับ Gundam Wing มีการแยกสีมาน้อยและจุดขยับทำได้ไม่ดี แต่ตั้งแต่ปี 2010 ได้ทำการ Reproduct ทำออกมาใหม่โดยทำใหม่เลยเช่นตัว Gundam X ทำให้ 1/144 ทำออกมาได้ดีมากในการแยกสี และจุดขยับทำได้ดีกว่าเดิมมากทีเดียว จัดท่าทางได้มากและลูกเล่นเหมือน HG รุ่นใหม่ ๆ เลย

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงบอกว่าเป็น HG After War คือเป็นภาคของ Gundam X




HG Gundam Seed 

     HG Gundam Seed มีออกมามากมายตามซีรีย์ ตั้งแต่ Seed / Seed Destiny / Seed Astray และอีกมากมาย แต่ในซีรีย์นี้เป็นซีรีย์ที่ได้รับความนิยม คุณภาพของพลาสติกดีขึ้นจากเดิม บางตัวสามารถทำการแปลงร่างได้อย่างพวก Gaia การแยกสีของพลาสติกทำได้ดี จุดขยับทำได้ดีมาก จึงเป็นที่นิยมกันเพราะราคาไม่แพง

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงด้านซ้ายมือจะบอกว่าเป็นภาคของ HG Gundam Seed ส่วนกรอบสีแดงด้านขวามือบอกว่ามาจาก Seed ในซีรีย์ไหนตัวอย่างมาจาก Seed Astray 




HG Gundam OO

     HG Gundam OO เป็นภาคที่มาแรงมากในการ์ตูนเลยมีผลทำให้หุ่นในภาคนี้ได้รับความนิยมจากผู้เล่น เพราะเนื้อพลาสติกที่ดีขึ้นกว่าเก่าเยอะ + การแยกสีที่ดีแทบไม่ต้องทำสีเพิ่มเติม จุดขยับที่ดีขึ้นแต่ก่อนมาก และสัดส่วนที่ดูสมจริง และตามมาด้วยลูกเล่นมากมาย การแปลงร่างอย่างตัว Arios หรือ Harute ทำให้เป็น HG ที่ได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงด้านล่างซ้ายมือจะบอกว่าเป็น HG ภาค OO ส่วนกรอบสีแดงด้านบนขวามือบอกว่ามาจาก ซีรีย์ไหนของ OO ในตัวอย่างเป็นภาค OO The Movie




HG Gunpla Builders 

     HG Gunpla Builder เป็น HG ที่ทำออกมาเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของ Bandai ใช้ชื่อในการ์ตูนว่าภาค Gunpla Builders Beginning G จะเป็นตัวหุ่นรุ่นเก่า ๆ นำมาทำใหม่เพิ่ม Option หรือทำสีใหม่ไปเลย HG ในภาคนี้ใช้เทคโนโลยีใหม่แล้วทำให้แยกสีออกมาดี จุดขัยบดี เหมือนกับในภาค OO 

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงจะบอกว่าเป็น HG Gunpla Builders และเป็นภาคของ Gunpla Builders Beginning G




HG Gundam AGE

     HG Gundam AGE เริ่มฉาย ตุลาคม 2011 แต่สินค้าของเล่นออกกันมาให้เล่นก่อนจะฉายเสียอีก 

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงบอกว่าเป็น HG Gundam AGE มาจากภาค Gundam AGE ขนาด 1/144





HG Gundam Build Fighter 

     HG Gundam Build Fighter เป็นกัมดั้มภาคล่าสุดที่ออกฉายในปี2013 เนื่องจากเนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับการประกอบกันพลาเพื่อนำมาแข่งขันกัน ดังนั้นเชื่อว่าน่าจะโดนใจกลุ่มคนดูที่ชื่นชอบกันพลาอย่างมาก และแน่นอนว่า หุ่นจากซีรีย์นี้ก็มีออกมามากมายหลายแบบเช่นกัน

ตัวอย่าง : กล่องที่เห็นจะบอกว่าเป็น HGBF หรือบอกว่าเป็น HG Gundam Build Fighter 1/144





2. Big Scale , Non Grade 1/60

     Big Scale หรืออาจจะเรียกว่า Non Grage ก็ได้จะมีขนาดใหญ่มากคือ 1/60 ชิ้นพลาสติก การแยกสีของชิ้นงาน และการประกอบจะเหมือนกับ HG 1/144 หรือ 1/100 เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้นเอง ราคาบางตัวอาจจะเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับ MG เลยก็ว่าได้ โดยขนาด Big Scale , Non Grage นี้จะมีออกมาน้อยมาก จะออกมาไม่กี่ตัวแต่จะออกตัวเด่น ๆ จะมี  V2 Gundam , G Gundam , Shining Gundam , Strike Gundam , Freedom Gundam , Force Impulse Gundam และ Gundam Exia

ตัวอย่าง : กรอบสีแดงจะเขียนอย่างชัดเจนเลยว่า 1/60 ถ้าเป็นกล่องของภาค Seed จะมีเขียนว่า Big Scale ด้วยหน้ากล่อง





3. Master Grade ( MG )



Master Grade ถูกเรียกสั้น ๆ กันว่า MG  

MG นั้นนับว่าเป็นเกรดที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีสัดส่วนที่เหมือนจริงและสวยงามมาก และราคาค่อนข้างแพงอยู่แต่ถ้าเปรียบเทียบกับความแข็งแรงและเนื้องานแล้วนับว่าคุ้ม ราคาเริ่มต้น MG จะเริ่มต้นส่วนใหญ่ที่ 3500 เยนขึ้นไป 

MG จะมีจุดเด่นหลายจุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบโครงใน หรือ Inner Frame นอกจากจำทำให้ตัวหุ่นแข็งแรงแล้ว ยังทำให้เคลื่อนไหวได้เหมือนจริงมากขึ้้นอีกด้วย จัดท่าทางได้มากขึ้นกว่า อาวุธและลูกเล่นที่มากกว่า HG การฉีดสีพลาสติกที่แยกออกมาได้ดี แบบไม่ต้องทำสีเพิ่มได้เลยก็สวยงามแล้ว นิ้วที่สามารถขยับได้มากกว่า HG โดย MG ส่วนใหญ่จะทำทุก ๆ ภาคของ Gundam อยู่แล้วอาจจะเลือกตัวเด่น ๆ ในแต่ละภาคมาทำหรือแล้วแต่ Bandai เขานั้นละว่าจะออก MG ตัวไหนบ้างแต่อย่างน้อยมันออกเดือนละตัว 

ตัวอย่างที่ 1 รูปบน : ในกรอบสีแดงจะเขียนสัญลักษณ์ของ MG สีทอง ส่วนด้านล่างจะเป็นโลโก้ของภาคนั้น ๆ อย่างในตัวอย่างเป็น MG ของภาค OO

                                       

ตัวอย่างที่ 2 รูปล่าง : จะให้เห็นว่าในส่วนของ MG นั้นจะมีโครงในก่อนเพื่อช่วยในความแข็งแรงและความสมจริงของหุ่น



MG 30th 



MG 30th คืออะไร ?  มันคือ MG นั้นละครับแต่เมื่อปี 2010 กันพลาครบรอบ 30 ปี ทาง Bandai เลยทำตัวเก่าออกมาขายแต่เพิ่มชิ้นใสเข้าไปในกล่องแต่ขายราคาเดิม เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 30 ปี 

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงจะเขียนบอกว่า MG เหมือนกล่องปรกติ แต่ถ้ากล่องไหนมีชิ้นใสเพิ่มเข้ามาจะมี Logo ครบรอบ 30 ปี ของ Gunpla ต่อท้ายมาด้วยเหมือนในรูป


4. Mega Size Model 1/48



Mega Size Model เป็น Model โปรเจก ครบรอบ 30 ปีของกันพลาทำออกมาขายครั้งแรกในปี 2010 ซึ่งมีขนาดใหญ่มากคือ 1/48 หรือสูง 375 mm ด้วยกัน การประกอบนั้นทาง Bandai บอกเลยว่าไม่ต้องใช้คีมตัดทั้งนั้นเพราะสามารถแกออกมาจากรันเนอร์ได้โดยง่าย ขนาดคุณภาพเทียบเท่ากับ HG รุ่นล่าสุด ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7000 เยน ตอนนี้ออกมาแล้ว 3 ตัวคือ RX78-2 แล้วก็ Char s Zaku , Zaku II และในปลายปีนีจะออกอีกตัวต้อนรับภาคใหม่อย่าง Gundam AGE ก็จะมากับขนาด 1/48 เหมือนกัน

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงด้านหน้ากล่องจะเขียนไว้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็น Mega Size และที่สังเกตุชัดคือกล่องใหญ่มาก ๆ   



5. Real Grade 1/144 ( RG )



Real Grade หรือเรียกสั้น ๆ ว่า RG 

RG นั้นเอาแบบอธิบายง่าย ๆ นั้นคือ MG ย่อส่วนมาในขนาด 1/144 นั้นเองเพราะแต่เดิม 1/144 จะถูกทำออกมาในรูปแบบ HG เป็นส่วนใหญ่แต่ในปี 2010 Bandai ได้แตกไลน์ใหม่ออกมาคือมีขนาด 1/144 แต่มีโครงใน มีจุดขยับทุกอย่างใกล้เคียง MG มี Decal มาให้เหมือน MG แต่ราคาจะอยู่กึ่งกลางระหว่าง HG และ MG นั้นเอง ราคาเริ่มต้นตอนนี้จะอยู่ที่ 2500 เยน และคาดว่าในอนาคต RG มาแรงแน่นอน

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดง บนกล่องด้านบนและด้านข้างจะมี Logo ของ RG อยู่บนกล่อง




6 . Perfect Grade 1/60 ( PG )



Perfect Grade เรียกกันสั้น ๆ ว่า PG

PG นั้นชื่อมันก็บอกอยุ่แล้วว่า Perfect แสดงถึงความสมบูรณ์แบบของกันพลา สัดส่วน การแยกสี จุดขยับ ทุกอย่างทำออกมาได้สมบูรณ์มาก ๆ รายละเอียดภายในมีโครงในเหมือน MG แต่มีขนาดใหญ่กว่าแต่ลายละเอยีดเยอะกว่ามาก มีความแข็งแรง นอกจากนั้นยังมีลูกเล่นเช่นไฟที่อยู่ภายในตัวหุ่น แต่ราคานี้ก็ไม่ต้องพูดถึงเหมือนกันว่ามันจะแพงขนาดไหน ราคา 15000 เยน up

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดงบนกล่องด้านข้างกล่องจะเขียนอย่างชัดเจนว่า Perfect Grade และกล่องจะมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่า Mega size อีก







7 . SD , BB ( Super Deform )



SD หรือหลายคนอาจจะเรียกว่า BB ก็ได้ 

ซึ่งก็สมกับชื่อของสินค้า สินค้าในไลน์นี้ได้แก่ SD G-Generation, SD BB GUNDAM สินค้าไม่มีการระบุสเกล NON-SCALE โดยสินค้ามักทำตามรูปแบบในการ์ตูนอนิเมชั่น หรือมักหยิบยกตัวละครในตำนานมาทำดีไซน์ในรูปแบบหุ่นยนต์กันดั้ม แต่ตัวหุ่นมีลักษณะเฉพาะตัว คือ หัวโต ตัวเตี้ย แขน ขาสั้น และเน้นแนวน่ารัก ชุดคิทนี้จะมีความง่ายในการประกอบ แต่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว โพสท่า และมักต้องการการทำสี รวมถึงทำรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ได้งานที่เสร็จสมบรูณ์ สินค้าที่ได้รับความนิยม ก็จะมีหลายภาคด้วยกันตามซีรีย์ของกันดั้ม แต่ตอนหลังได้จับเอาประวัติศาสตร์ของจีน คือ สามก๊ก มาทำเป็น SD ได้รับเสียงตอบรับมากมาย เพราะราคาที่ไม่แพงมากนั้นเอง ราคาเริ่มต้นที่ 400 เยนขึ้นไปแล้วแต่ Option ของแต่ละตัว

ตัวอย่างกล่องด้านบน : ถ้าเป็น SD , BB ตามซีรีย์นั้นดูจากภาพบนหน้ากล่องก็รู้แล้วว่าเป็น Sd , BB แน่นอน แต่ในกรอบสีแดงคือหน้ากล่องมันจะบอกว่ามาจากภาคไหนของกันดั้ม

ตัวอย่างกล่องด้านล่าง : เป็น SD , BB ที่กำลังขายดีในตอนนี้นั้นคือภาคสามก๊ก ในกรอบสีแดงจะเป็น Logo ของภาคสามก๊กนั้นเอง





8. First Grade 1/144 ( FG )



First Grade เรียกกันสั้น ๆ ว่า FG

เข้าสู่ตลาดครั้งแรกในปี 2000 โดยเริ่มทำจาก ชุดคิท พลาสติกโมเดล 3 แบบได้แก่ กันดั้ม RX-78-2, MS-06 ZAKU II Mass-Production Type และ MS-06S Zaku II Char Custom ชุดคิทนี้ไม่แยกสีมาให้ สีเดียวทั้งตัว จัดว่าต้องทำสีเองทั้งตัว ในชุดแรกเมื่อประกอบเสร็จ ส่วนใหญ่จะขยับข้อศอก เข่าได้อย่างเดียว ใช้เวลาประกอบไม่นาน อย่างไรก็ตามในกลางปี 2007 เกรดนี้ ได้มีการพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม คือ มีการแยกสีมาให้ในแต่ละพาร์ท แต่ยังคงเป็นสีเดียวทั้งชิ้น และยังคงต้องทำสีเพิ่ม รวมถึงง่ายต่อการตัดจากแผงพลาสติก ซึ่งจะมีอยู่ทุกซีรีย์ของกันดั้มอยู่แล้ว ซึ่งภาคล่าสุดที่จะทำออกมาในเดือนตุลาคมเป็นของ Gundam AGE

ตัวอย่าง : ในกรอบสีแดง ด้านหน้ากล่องจะเขียนอย่างจัดเจนเลยว่า FG





บทสรุป

1/144 ทั้งหลาย HG , FC

มีขนาดเล็ก และราคาถูก เหมาะสำหรับผู้ชอบเก็บจำนวนมากๆ แต่อาจจะต้องทำสีบ้างในบางจุดถ้าอยากให้สวยเหมือนจริง 
เหมาะสำหรับมือใหม่

1/100 ทั้งหลาย HG

ใหญ่ขึ้นมา แถมราคาก็สูงขึ้นมาอีกหน่อย  เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรเล็กๆ การแยกสีดีขึ้น ทำให้ทำสีน้อยลง อีกนัยหนึ่งถ้าต้องการทำสีใหม่ก็ง่าย เพราะมีขนาดใหญ่กว่า 
เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่บางตัวก็ต่อยากเหมือนกัน

RG 

มีขนาดเล็กรายละเอียดเยอะพอ ๆ กับ MG ทีเดียว
เหมาะกับผู้ที่ชำนาญต่อ 1/144 แบบ HG มาก่อน ราคาอยู่กลาง ๆ ไม่ถูกไม่แพง

MG
   
MG มันมีขนาด 1/100 ซึ่งจะได้ตัวที่ใหญ่ คุณไม่ต้องทำสีก็สวยแทบจะเหมือต้นฉบับ ลูกเล่นอะไรต่างๆก็ทำได้สมจริง เรียกได้ว่าซื้อมาปุ๊บแล้วต่อ สวยเลย 
มือใหม่โปรดพิจารณา ถึงต่อตามใบต่อจะไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องระวัง และราคาค่อนข้างแพง

1/60 , Megasize 1/48

ใหญ่โต เหมาะสำหรับคนมีที่เยอะ จะตั้งเด่นดูเห็นแต่ไกล 
เหมาะกับผู้ที่เริ่มต่อเพราะมีขนาดใหญ่และต่อง่าย แต่ต้องคิดถึงเรื่องราคากันนิดนึงเพราะราคาแพงเอาการอยู่

PG 

รายละเอียดขั้นเทพ  ต่อทีใช้เวลานานแน่อน และอาจจะต้องมีการเดินสายไฟในตัวหุ่น
ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่อย่างยิ่ง และราคาที่แพงมากด้วย

SD

เหมาะกับนักทำสีมือใหม่ เพราะรายละเอียดไม่มาก แต่จะต่อเฉยๆก็น่ารักไม่เบา เหมาะสำหรับมือใหม่


Credit From : bandai-hobby.net ,  Dalong , Thaigundam , M Y D E S I G N - C L U B . N E T   

Thursday, August 28, 2014

กันพลา ชื่อเรียกนี้มีที่มาอย่างไร? ตอนที่2

กันพลา (Gunpla) ชื่อเรียกนี้มีมาอย่างไร? ตอนที่2

หลังจากตอนที่แล้ว เราได้เขียนถึงประวัติกันพลาไว้ ถึงปี 1998 ในตอนนี้เราจะมาเล่าต่อจากตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน มีความเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการอย่างไรบ้าง ไปอ่านกันต่อได้เลย



                    1999 การฉลองครบรอบ 20 ปีของกันดั้มวนมาถึงอีกครั้ง ในปีนี้โปรเจ็กต์ “Turn A Gundam” ก็ได้อุบัติขึ้น และความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเรื่องของแมคคานิคดีไซน์ ซึ่งได้มีการเชิญ Syd MEAD (ซิก มี้ด) มือออกแบบแมคคานิคดีไซน์ชาวอเมริกาซึ่งโด่งดังมาจากการออกแบบแมคคานิ คในภาพยนตร์เรื่อง Blade Runner มาเป็นผู้ออกแบบให้ แม้ว่าจะรูปแบบของแมคคานิคที่ซิก มี้ดออกแบบมาจะมีความพิสดารเพียงใด ทาง BANDAI ก็ยังคงแปลงให้มันออกมาในรูปแบบกันพลาได้เสมอ ซึ่งนอกจากสินค้าจากซีรีส์ Turn A แล้ว ในปีนี้ทาง BANDAI ยังได้มีการเปิดตัวสินค้าซีรีส์ใหม่อย่าง HGUC (High Grade Universal Century) โดยสินค้าซีรีส์นี้จะเน้นการนำเอากันพลา สเกล 1/144 ที่เคยออกไปแล้วมาทำใหม่ ให้สามารถออกแอคชั่นได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะโมบิลสูทจากซีรีส์ Z Gundam และ ZZ Gundam ซึ่ง ในสมัยก่อนไม่สามารถทำได้มาทำการออกแบบใหม่ แต่ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีการเน้นเฉพาะเจาะจงลงไปแบบนั้นมากนัก ขอแค่ว่าเป็นโมบิลสูทที่ขึ้นชื่อว่าปรากฏตัวในปีศักราชอวกาศ (Universal Century = UC) ก็ได้ออกเป็นกันพลาซีรีส์นี้แล้ว



                    ปี 2002 BANDAI ก้าวย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ของ กันพลา อย่างสมบูรณ์ ด้วยสินค้าที่ตอบสนองต่อแฟนๆ ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็น แฟนๆ ที่ติดตามกันพลามาอย่างยาวนานก็จะเลือกซื้อ MG,แฟนๆ ที่อยากเก็บสะสมโมบิลสูทให้ครบจากซีรีส์ที่ตัวเองชอบก็เลือกซื้อ HGUC ส่วนพวกแฟนพันธุ์แท้ทั้งหลายก็จะเลือกซื้อ EX Model แต่นั้นก็ยังไม่พอที่จะเรียกได้ว่าเป็น “กันดั้มแห่งศตวรรษที่ 21” อย่างแท้จริงดังนั้นในเดือนต.ค.ของปีนี้เอง“Mobile Suit Gundam SEED” ซีรีส์ล่าสุดของกันดั้มจึงได้ออกอากาศทางทีวีอีกครั้ง ด้วยความมันที่ฮิตเปรี้ยงปร้างเหมือนระเบิดนาปาลม์หย่อนลงมากลางวงการอนิเม ที่กำลังซบเซาและซ้ำซากไปด้วยการ์ตูนที่เน้นคาแรคเตอร์จนเกินพอดี ทำให้ BANDAI สามารถแตกไลน์สินค้าของซีรีส์ “SEED” ออกมาต่างหากได้โดยไม่ต้องอิงกับของเก่าได้เลยแม้แต่น้อย ไล่ไปตั้งแต่กันพลา สเกล 1/144 แบบพลาสติกฉีดสีเดียวสำหรับเด็กรุ่นใหม่หัดประกอบหลังจากที่ไม่เคยออกมานาน ไล่ไปจนถึง 1/100, HG SEED ก็ยิ่งทำให้โลกของ SEED ขยายกว้างขึ้นไปอีก


                    ปี 2003 เนื่องจากเล็งเห็นตลาดในประเทศอเมริกา หลังจากซีรีส์กันดั้มทั้งหลายได้เข้าไปฉายจนได้รับความนิยมอย่างสูง BANDAI จึงมีความคิดที่จะนำเอาคาแรคเตอร์กันดั้มเข้าไปเปิดตัวในอเมริกาบ้าง โดยทาง BANDAI นั้นเลือกที่จะทำซีรีส์ขึ้นมาใหม่ให้เหมาะกับประเทศอเมริกาซึ่งมีความนิยมใน อนิเมชั่นรูปแบบ CG โดยเฉพาะ ผลที่ได้จึงออกมาเป็นอนิเมชั่น CG เต็มรูปแบบอย่าง “SD GUNDAM FORCE” ซึ่งเป็นการนำเอาเรื่องราวของ SD GUNDAM ในญี่ปุ่นตั้งแต่ภาคอัศวินกันดั้มจนถึงมูชะกันดั้มมาปรับปรุงใหม่ และรวมกันจนกลายเป็นเรื่องใหม่ และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นการทำออกมาเพื่อสนองตลาดในอเมริกา จึงไม่มีการทำของเล่นชุดนี้ออกมาในรูปแบบกันพลา จะมีแต่แบบของเล่นสำเร็จรูปซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศอเมริกาเท่านั้น


                    แม้ว่าในปีเดียวกันนี้อนิเมชั่นชุด Mobile Suit Gundam SEED จะจบลงไปแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นซีรีส์Astray ซึ่งถือได้ว่าเป็น MSV ของ SEED ก็ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อสานต่อกระแสของกันดั้มไม่ให้หยุดนิ่ง ซึ่งต้องยกย่องในความเตรียมพร้อมของ BANDAI ด้วยการกระจายสื่อและแตกเรื่องราวของกันดั้มแอสเทรย์ทั้ง 3 เครื่องอันได้แก่ Red Frame,Blue Frame และ Gold Frame ไปตามสื่อในรูปแบบต่างๆ กัน คือ ฉบับการ์ตูนที่เกี่ยวข้องกับ Red Frame โดยตรงใน Mobile Suit Gundam SEED Astray จะลงตีพิมพ์ในGundam ACE ,Mobile Suit Gundam SEED Astray R ลงตีพิมพ์ใน Shonen ACE, ฉบับนิยายที่เกี่ยวกับ Blue Frame โดยตรงลงตีพิมพ์ในหนังสือ The Sneaker และ นิยายซึ่งเป็นตัวเสริมเนื้อเรื่องในภาคอื่นๆ ทั้งหมดอย่าง Mobile Suit Gundam SEED Astray B ลงตีพิมพ์ในหนังสือ Dengeki Hobby Magazine ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดก็ดำเนินมาเรื่อยจนถึงภาคต่อเพื่อการฉลองครบรอบ 25 ปีของกันดั้มอย่างMobile Suit Gundam SEED Destiny ที่ออกฉายในปี 2004 นั่นเอง




                        ปัจจุบันนี้ กันพลา ก็ยังเป็นของเล่นยอดนิยมสำหรับคนที่รักและชอบกันดั้มไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะผ่านมาแล้วกว่า 30 ปีก็ตามซึ่ง BANDAI ก็ยังคงเข็นซีรี่ส์ต่างๆ ออกมามากมาย ทั้ง IGLOO, (OVA) Stargazer, Gundam OO, (OVA) Unicorn, บลาๆ และยังมีอนิเมชั่นเรื่อง Gunpla Builder Beginning G เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของกันดั้ม, มีการพัฒนากันพลา SD ให้เป็น BB และมีเพิ่มกันดั้มซีรี่ส์สามก๊กและ เซนโกคุ ยัง ยังไม่พอ BANDAI ยังเซอไพรซ์แฟนๆ ด้วยการสร้างกันดั้ม RX-78 ขนาดเท่าตัวจริง 1/1 ขึ้นมาอีก 1 ตัว มีความสูง 18.5 เมตร ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม 2009 และปัจจุบันได้ถูกย้ายไปตั้งที่เมืองชิซึโอกะ และแน่นอนว่า BANDAI คงไม่หยุดแค่นี้แน่ เพราะพวกเขาได้นำกันดั้ม MASTER Grade มารีเมคใหม่ โดยเพิ่มชิ้นส่วนที่เป็นเคลียร์ใสเพิ่มลงไปอีกด้วย นอกจากนี้ ยังแตกไลน์กันพลาออกมาอีก 1 เกรดซึ่งก็คือ Real Grade(RG) โดยมีโครงด้านในเหมือนกับ MG แต่มีขนาดเท่ากับ HG คือ 1/144  BAIDAI ในอนาคต ยังคงมีกันพลาออกมาขายสูบพลังชีวิตของกระเป๋าตังค์อยู่เรื่อยๆ แบบนี้ต่อไปแน่นอน



ในตอนหน้าเราจะมาแนะนำเรื่องเกรดต่างๆของกันพลา ว่ามีอะไรบ้างและแตกต่างกันอย่างไร ใครที่อยากรู้ต้องติดตามอ่านนะคะ

Wednesday, August 27, 2014

กันพลา ชื่อเรียกนี้มีที่มาอย่างไร? ตอนที่1

กันพลา (Gunpla) ชื่อเรียกนี้มีมาอย่างไร? ตอนที่1


            สำหรับเพื่อนๆที่เป็นแฟนซีรีย์อนิเมะดังอย่าง " Mobile Suit Gundam" เมื่อพูดถึงกันพลาก็คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว และก็เชื่อว่าหลายๆคน คงจะมีกันพลาอยู่ในครอบครองกันบ้างล่ะ แต่สำหรับคนที่เป็นมือใหม่ อาจจะเพิ่งมาสัมผัสกับกันพลาเป็นครั้งแรกและยังไม่รู้ถึงจุดกำเนิดของกันพลาว่ามาจากไหน อย่างไร วันนี้เราจึงขอเล่าถึงกำเนิดกันพลา เพื่อที่ว่าคุณจะได้สนุกกับการประกอบมันมากขึ้นเมื่อได้รู้เรื่องราวของมัน

             
             กันพลา (Gunpla) เป็นชื่อเรียกที่ถูกตัดทอนมาจากคำว่า “Gundam Plastic Model” ซึ่งคำว่า Gun มาจากคำว่า Gundam และคำว่า Pla มาจาก Plastic Model นั่นเอง 


             และในปีนี้ก็ก้าวเข้าสู่ปีที่ 35แล้ว เรียกได้ว่าอยู่มานานจริงๆ สำหรับสินค้าของเล่นพลาสติกโมเดล (พลาโม) ในรูปแบบของ“Gundam Plastic Model” (กันพลา) ที่ได้ออกวางจำหน่ายโดยบริษัทบันได BANDAI ผู้ผลิตของเล่นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น โดยใช้ต้นแบบมาจากภาพยนตร์อนิเมชั่นซีรี่ส์ดังอย่าง "Mobile Suit Gundam" ซึ่งก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าความนิยมนั้นไม่เคยลดลงแม้แต่น้อย มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ 



              ประวัติศาสตร์ของพลาสติกโมเดลนั้นเริ่มต้นขึ้นที่บริษัท Frog ในประเทศอังกฤษได้ออกวางจำหน่ายพลาโมซีรีส์ “Penquin” ขนาด 1/72 ในปี 1936 จากนั้นเมื่อเช้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มมีการขยายตัวเข้าไปในประเทศอเมริกา และญี่ปุ่น ด้วยความที่อยู่ในสภาวะสงครามทำให้ช่วงแรกของเล่นจำลองแบบพวกนี้จึงได้ต้น แบบมาจากของเครื่องบิน,เรือรบ และรถถัง จนเมื่อสภาวะสงครามสงบลง การแข่งขันรถเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง พลาโมที่จำลองแบบมาจากรถแข่งทั้งหลายจึงได้รับความนิยมตามไปด้วย และBANDAI เองก็เป็นบริษัทที่เกิดจากการผลิตพลาโมรถแข่งแบบนี้ด้วยเช่นกัน









                  สำหรับวงการพลาสติกโมเดลในญี่ปุ่นนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อทางบริษัท MARUSAN เริ่มวางจำหน่ายพลาสติกโมเดลชุดจำลองเรือดำน้ำขนาด1/300 “SSN-571 NAUTILUS”







                  ในเดือนธ.ค. ปี 1958 ซึ่งตอนนั้นทาง MARUSAN เป็นสปอนเซอร์ให้กับเรื่อง “Riku to Umi to Sora to” (ผืนดิน ผืนน้ำและแผ่นฟ้า) ทำให้พลาสติกโมเดลเริ่มได้รับความนิยมจนกลายเป็นงานอดิเรกแบบใหม่ ส่วนพลาสติกโมเดลที่จำลองแบบมาจากสินค้าคาแรเตอร์ตัวแรกนั้นแน่นอนว่าจะต้อง เริ่มต้นมาจากพลาโมซูปเปอร์โรบ็อตตัวแรกอย่าง “Tetsujin 28 Go” ( หุ่นเหล็กหมายเลข 28 ) ของบริษัท IMAI (ปัจจุบันถูกบริษัท Aoshima ซื้อกิจการไปแล้ว) และหลังจากการวางจำหน่ายก็ทำให้สินค้าพลาโมที่มาจากคาแรคเตอร์ที่ออกฉายทาง ทีวีตามออกมาอีกนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าหนูอะตอม” ,”ธันเดอร์เบิร์ด” ฯลฯ



                    ปี 1969 แม้ว่าจะเกิดกระแสพลาโมบูมก็ตามทีแต่บริษัท IMAI นั้นกลับเกิดปัญหาในการจัดการภายในจนไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้อง การ จึงได้ว่าจ้างให้โรงงานของ BANDAI ซึ่งก่อตั้งในปี 1967 ที่ชิซุโอกะ เป็นผู้รับผิดชอบในการผลิตสินค้ารีโปรดักส์ให้ ซึ่งเดิมทีแล้วทาง BANDAI ไม่ได้เคยมีความสนใจในโมเดลจากคาแรคเตอร์เลยแม้แต่น้อย จนเมื่อทาง IMAI ได้มาว่าจ้างให้ทำการผลิต BANDAI จึงได้โอกาสทำการศึกษาตลาดพร้อมกับพัฒนาสินค้าของตัวเอง จนในปี 1970 จึงได้มีโอกาสแปะชื่อ BANDAI ไปกับสินค้าของทาง IMAI ซึ่งตอนนั้นขายสินค้าพลาโมจากชุด “Thunderbird” ได้ถล่มทลาย ส่งผลให้ผลประกอบการของ BANDAI ดีขึ้นมากจนในปี 1971 นั้นสามารถจดทะเบียนกลายเป็นรูปแบบบริษัทจำกัดได้เลยทันทีซึ่งหลังจากบริษัท กลายเป็นรูปเป็นร่าง BANDAI ก็เร่งผลิตสินค้าพลาโมจากคาแรคเตอร์ออกมาอีกมากมายจนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะกับสินค้าชุด Thunderbird และ Masked Rider ที่เปิดตัวในช่วงนั้นพอดี


กระแสความนิยมในเรื่อง “เรือรบอวกาศยามาโตะ” ฮิตถล่มทลายมากในญี่ปุ่น จนทำให้มีการผลิตพลาโมในซีรีส์ “Mechanic Collection” ออกมาเพื่อตอบสนองแฟนๆที่ต้องการพลาโมที่มีรายละเอียดมากยิ่งกว่าชุด “Image Model” ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จนในเดือนก.พ.ปี 1980 หลังจากอนิเมชั่นตอนที่ 42 ของ “Mobile Suit Gundam” ฉายจบลงทาง BANDAI ก็ประกาศที่จะนำคาแรคเตอร์หุ่นยนต์ในอนิเมชั่นดังกล่าวมาผลิตเป็นของเล่นใน ซีรีส์ Mechanic Collection เช่นกัน และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือจะเป็นพลาโมจากหุ่นยนต์เรื่องแรกที่มี การคำนึงถึงเรื่อง “สเกล” ด้วย หลังจากที่ผ่านมานั้นของเล่นพลาโมที่ถอดแบบมาจากอนิเมชั่นนั้นจะออกมาในรูป แบบ NON-SCALE ทั้งหมด (ไม่สามารถวัดค่าความสูงได้จริง) ในเดือนก.ค.ปีเดียวกันนั้นเองสินค้า Mechanic Collection อันดับที่ 4 ขนาดสเกล 1/144 ของ RX-78 GUNDAM ก็ออกวางจำหน่าย และในเดือนเดียวกันนั้นเองเพื่อเป็นการเปิดทางสู่ของเล่นซีรีส์ใหม่ ทาง BANDAI ก็ได้ออกวางจำหน่ายพลาโมของกันดั้มที่เรียกได้ว่าเป็น “กันพลา” ตัวแรกของโลกด้วยสเกลขนาด 1/100 ที่ใหญ่และสวยยิ่งกว่าเดิม และสเกล 1/100 ก็ยังกลายเป็นสเกลมาตรฐานต้นแบบให้กับการออกหุ่นในซีรีส์อื่นๆ เช่น Xabungle และ Godzigma อีกด้วย ส่วนข้อเท็จจริงในการที่ต้องออกเป็นสเกล 1/100 นั้นก็เพราะทาง BANDAI มีคอนเซปท์ว่าต้องการให้กันพลาชุดดังกล่าวนั้นสามารถแยกชิ้นส่วนคอร์ ไฟเตอร์ รวมถึงสามารถเล่นประกอบร่างได้จริงนั่นเอง




                   ในปี 1981 เมื่อมีการนำเอากันดั้มกลับมาตัดต่อใหม่เป็นรูปแบบภาพยนตร์จอเงิน กระแสความนิยมในกันพลาก็ยิ่งได้รับความนิยมมากกว่าเดิม จนเมื่อทางสำนักพิมพ์โคดันฉะ ลงตีพิมพ์การ์ตูนเรื่อง “พลาโมเคียวชิโร่” ในนิตยสาร BON BON ซึ่งเป็นเรื่องราวของเหล่าเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบในกันพลา ก็ทำให้เกิดเหล่าโมเดลเลอร์ซึ่งนิยมนำเอากันพลามาตกแต่งตามจินตนาการของตัว เองมากยิ่งขึ้น


 

                     ปี 1983 เมื่อไม่มีทั้งภาพยนตร์และการ์ตูนเกี่ยวกับกันดั้มออกมา แถมรวมทั้งโมบิลสูทและโมบิลอาร์เมอร์ที่ปรากฏตัวออกมาก็มีรวมกันเพียงแค่ 23 แบบเท่านั้น ความคิดที่ว่า “กันดั้มไม่จำเป็นต้องมาจากอนิเมชั่นหรือการ์ตูนเสมอไป” ก็อุบัติขึ้นกลายเป็น “MSV (Mobile Suit Variation)” กันพลาที่เกิดขึ้นจากการแต่งเสริมเรื่องราวที่ขาดหายไป หรือไม่ได้พูดถึงในภาคทีวี โดยสินค้า 4 ชุดแรกอันได้แก่ EMS-05 Agg,MSM-04G Juagg,MSM-04N Agguguy,MSM-08 Zogok ที่แต่งเสริมเรื่องราวมาจากตอนที่พวกกองทัพซีออนบุกฐานจาโบรของกองทัพโลก ก็ออกวางจำหน่าย พร้อมกับมีการลงเรื่องราวในหนังสือ Bon Bon เพื่อให้คนเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น รวมถึงมีการออกชิ้นส่วนเสริม เช่น อาวุธ เพื่อใช้เล่นกับกันพลาชุดที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ด้วยแน่นอนว่าสินค้าชุด MSV นี้ประสบความสำเร็จมาก และว่ากันว่าสินค้าที่ถือว่าเป็นสุดยอดที่สุดในชุด MSV นั้นก็คือ 1/100 Perfect Gundam ซึ่งเป็นกันพลาที่ตัวเอกในเรื่องพลาโมเคียวชิโร่ใช้นั่นเอง




                     ปี 1985 ถือได้ว่าเป็นปีของการร่วมมือกันระหว่าง BANDAI ที่เป็นสปอนเซอร์หลักและ SUNRISE สตูดิโอผู้ผลิตอนิเมชั่นชุดนี้อย่างแท้จริง เมื่อ “MOBILE SUIT Z GUNDAM” ออกฉายในเดือนมี.ค. ทาง BANDAI ก็ไม่รอช้าในเดือนเม.ย. ก็ออกวางจำหน่ายพลาโมขนาด 1/144 ของ RX-178 GUNDAM Mk-II และ Hi-Zack ซึ่งเป็นโมบิลสูทที่ปรากฏตัวในช่วงต้นเรื่องทันที ซึ่งรูปแบบการวางจำหน่ายพลาโมเมื่อมีโมบิลสูทปรากฏตัวในทีวีแบบนี้ก็ยังถูก นำมาใช้จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะหาซื้อพลาโมของโมบิลสูทตัวที่ชอบได้ทันทีที่มัน ปรากฏตัวบนจอโทรทัศน์ ดังที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้


                  ในปี 1985 แม้ว่า BANDAI จะเติบโตขึ้นจากการขายพลาโมของกันดั้มแล้วก็ตาม แต่ว่าบริษัทคู่แข่งอย่างTAKARA (ปัจจุบันคือ TAKARA TOMY) ซึ่งยังมีสิทธิในการผลิตสินค้าจากอนิเมชั่นของสตูดิโอ SUNRISE ก็ได้เปิดตัวสินค้าใหม่อย่าง ChoroQ Dagram ซึ่งเป็นมาสคอทขนาดย่อส่วนจากอนิเมชั่นเรื่อง “Taiyo no Kiba Dagram” จากการเห็นสินค้านี้เองทำให้ทาง BANDAI เองก็สนใจที่จะนำเอาคาแรคเตอร์กันดั้มของตัวเองมาย่อส่วนลงเพื่อออกวาง จำหน่ายบ้าง ทำให้เกิดกลายมาเป็น Super Deformation Gundam หรือ SD Gundam อยู่ทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ดีสินค้าที่ออกเกี่ยวกับ SD Gundam อันแรกนั้นไม่ใช่กันพลา แต่ว่าเป็นกาชาปอง (ของเล่นไข่หมุน) ชุด SD Gundam World ซึ่งภายหลังก็มีการนำเอาไปทำเป็นเกมบนเครื่องแฟมิคอมอีกด้วย


เรื่องราวของ SD Gundam ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นเมื่อได้มีการนำเอา “Musha Gundam” ซึ่งเป็นซามูไรกันดั้มที่เคียวชิโร่ ตัวเอกจากเรื่องพลาโมเคียวชิโร่ใช้ในการ์ตูนมาทำเนื้อเรื่องแยกเป็นเอกเทศ ของตัวเอง และเขียนเป็นการ์ตูนลงตีพิมพ์ในนิตยสาร BON BON ของสนพ.โคดันฉะ จนทำให้ในเดือนธ.ค. ของปี 1988 พลาโมของ SD Gundam ตัวแรกก็ได้ออกวางจำหน่ายซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องเป็น Musha Gundam นั่นเอง โดยพลาโมดังกล่าวนั้นใช้ชื่อสินค้าว่า “BB Senshi” ซึ่ง BB นั้นเป็นคำที่ได้มาจากกระสุน BB ของปืนอัดลมนั่นเอง




                      ย้อนกลับไปในปี 1987 หลังจากการฉายจบลงของ “Mobile Suit Gundam ZZ” ซึ่งได้รับความนิยมน้อยกว่า Z Gundam ประกอบกับทางโทรทัศน์ก็เต็มไปด้วยอนิเมหนังหุ่นยนต์มากมาย จนหลายคนคิดว่ายุคกันพลาบูมนั้นน่าจะจบลงซะแล้ว นิตยสาร Model Graphix รายเดือน ก็ได้เปิดตัวนิยายชุด “Gundam Sentinel”


ด้วยเนื้อเรื่องอันสุดยอดของคุณมาซายะ ทาคาฮาชิ ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของซีรีส์กันดั้ม ประกอบกับผลงานแมคคานิคดีไซน์ที่เปลี่ยนโลกของกันดั้มให้สมจริงมากยิ่งขึ้น ของคุณคาโตกิ ฮาจิเมะ ก็ทำให้ซีรีส์นี้ฮิตระเบิดจนทาง BANDAI ต้องออกของเล่นอย่าง 1/144 Full Armor ZZ Gundam ตามออกมาในแทบจะทันที ซึ่งความดังของเรื่องนี้อาจจะทำให้หลายคนจำได้มากกว่าที่จะจำได้ว่า สถานการณ์ในนิยายของเรื่องนี้ดำเนินเรื่องอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับ Gundam ZZ ซึ่งไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ซะด้วยซ้ำ




                      1989 วงการอนิเมชั่นเริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองเมื่อมี OVA (Original Video Animation) กำเนิดขึ้นมา เหล่า ครีเอเตอร์หน้าใหม่กำเนิดขึ้นมากมายพร้อมกับงานที่หลากหลาย แต่ในยุคนี้อนิเมหุ่นยนต์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดไม่ใช่กันดั้ม แต่ว่าเป็น “Mobile Police Patlabor” ซึ่งมีทั้งฉบับการ์ตูน อนิเมทีวีซีรีส์ OVA รวมถึงหนังโรง ดังนั้นเพื่อให้เข้ากระแสและสานต่อชื่อของกันดั้มจึงได้มีการตกลงที่จะทำ OVA ชุด “Mobile Suit Gundam : War in the Pocket” ขึ้นมาเพื่อสนองแฟนๆ ของภาคก่อนๆ เพราะเป็นการหยิบเอาเรื่องราวจากภาคแรกสุดมาทำเป็นไซด์สตอรี่ โดยเพิ่มโมบิลสูทอย่าง Gundam NT-1 Alex และ Kampfer เข้าไปใหม่ ในขณะที่โมบิลสูทตัวอื่นก็ถูกนำกลับมาจับปัดฝุ่นออกแบบใหม่โดยคุณยูทากะ อิซูบุจิ ซึ่งเป็นผู้ออกแบบแมคคานิคดีไซน์ให้กับแพทเลเบอร์นั่นเอง แน่นอนว่าทาง BANDAI ก็ทยอยออกสินค้าจาก OVA ชุดนี้ออกมาเรื่อยๆ ตามสูตร แต่อย่างไรก็ดีสำหรับในแง่ของพลาโมแล้ว ส่วนที่น่าพูดถึงก็คือเรื่องเทคนิคในการประกอบที่เข้ามาใหม่อย่าง“Poly Joint” ซึ่งทำให้แม้แต่กันพลาสเกล 1/144 อย่าง NT-Alex นั้นสวมชุดเกราะโจบามอาร์เมอร์ถอดเข้าถอดออกได้อย่างสมบูรณ์และก็ยังคงใช้มา เรื่อยจนถึงทุกวันนี้

                 ในปี 1990 เพื่อฉลองครบรอบการวางจำหน่ายมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี ของกันพลา BANDAI จึงได้มีความคิดที่จะปรับปรุงรูปแบบการผลิตของกันพลาขึ้นมาใหม่ ด้วยความรู้และความสามารถที่มากกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน รวมถึงมีการพัฒนาเทคนิคในการประกอบ และการขึ้นแบบที่ทำให้กันพลานั้นดูดียิ่งกว่าเดิมมาก ทาง BANDAI จึงได้เลือกที่จะนำเอากันพลาชุดของ Mobile Suit Gundam และ Mobile Suit Z Gundam มาทำการรีเมคออกใหม่ในซีรีส์ HG (High Grade) ในขนาดสเกล 1/144 และแน่นอนว่าสินค้าที่ออกมาตัวแรกก็ยังคงเป็น RX-78 Gundam โมบิลสูทตัวแรกที่เคยออกวางจำหน่ายเมื่อ 10 ปีก่อน จากนั้นก็ตามด้วยการออกสินค้ากันดั้มภาคอื่นๆ ทยอยตามออกมา ซึ่งปัจจุบันกันพลาซีรีส์ HG นั้นก็ยังคงออกวางจำหน่ายในตลาดอย่างต่อเนื่องทุกเดือน กลายเป็นแบรนด์สินค้ากันพลารูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมักจะออกสินค้าอ้างอิงกับอนิเมชั่นที่ออกฉายในช่วงนั้นๆ เป็นประจำ และราคาก็อยู่ในระดับปานกลางพอที่คนที่มีเงินปานกลางจะซื้อได้นั่นเอง
 



                    ปี 1991 แนวทางในการทำซีรีส์กันดั้มยุคใหม่ ก็ถูกเปิดขึ้นอย่างแท้จริง เมื่อทาง BANDAI ตัดสินใจที่จะเปิดตัวซีรีส์กันดั้มถึง 2 เรื่องควบคู่กัน โดยมีทั้งภาพยนตร์จอเงินอย่าง “Mobile Suit Gundam F91” และ OVA ชุด “Mobile Suit Gundam 0083 Star Dust Memory” ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการฉาย Gundam F91 ผลงานฉบับนิยายและการ์ตูนของ “Mobile Suit Gundam F90” ก็ดำเนินหน้าไปก่อนแล้ว และเป็นซีรีส์ของ F90 นี่เองที่เป็นต้นแบบคอนเซปท์ของกันดั้มในปัจจุบันที่สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วน ได้ เนื่องจากแต่ดั้งเดิมนั้นหุ่นยนต์ในซีรีส์นี้จะถูกเรียกรวมว่า “Formula Project” ซึ่งเน้นการออกแบบหุ่นน้ำหนักเบาที่สามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนเพื่อใช้ตามแต่ละ สถานการณ์ได้ และในตัวต้นฉบับของ F90 เองก็มีชิ้นส่วนให้เลือกเปลี่ยนได้มากถึง 26 แบบตามตัวอักษรภาษาอังกฤษไล่ไปจาก A-Z นั่นเอง แต่ทาง BANDAI เองก็ไม่เคยออกกันพลาชิ้นส่วนเสริมของ F90 ได้ครบ มีเพียงแค่ 6 แบบเท่านั้นที่ออกมาวางจำหน่ายจริง นอกจากนี้แล้วในปีนี้ก็ยังมีการออกสินค้าชุดสเกล 1/60 ของ Gundam F91 หลังจากที่ไม่เคยออกวางจำหน่ายกันพลาในสเกลนี้มานานถึง 6 ปีแล้วด้วย



 


                      ปี 1993 หลังจากจบการทำตลาดของ MSV ชุด Gundam F91 ในปี 1992 ไปแล้ว BANDAI ก็เริ่มผลงานอนิเมชั่นทีวีซีรีส์ของกันดั้มใหม่หลังจากไม่เคยฉายมานานถึง 7 ปีด้วย “Mobile Suit V gundam” ในส่วนของกันพลานั้น สินค้าชุด 1/144 Victory Gundam ที่ออกวางจำหน่ายในเดือนพ.ค.นั้นก็เป็นกันพลาตัวแรกในสเกล 1/144 ที่มีการใส่ “V Frame” ซึ่งเป็นแกนกลางที่ทำหน้าที่แทน Poly Joint ทำให้ตัวกันพลานั้นสามารถโพสท่าได้หลากหลายมากขึ้น และเนื่องจากการที่ V Gundam นั้นเป็นหุ่นที่สามารถแยกร่างได้ทำให้ความสามารถในการแยกร่างนั้นจะมีอยู่ เฉพาะในกันพลาสเกล 1/100 ซึ่งออกเป็นสินค้าแบบ HG เท่านั้น




                     ปี 1994 เพื่อเป็นการฉลองโปรเจ็กต์ครบรอบ 15 ปีของอนิเมชั่นกันดั้ม ทางซันไรซ์จึงได้ไปจ้างให้ผู้กำกับคุณอิมากาว่า ยาซึฮิโร่ ซึ่งตอนนั้นโด่งดังจากการกำกับ OVA ชุด Giant Robo และทีวีซีรีส์ชุด “Mister Ajiko” มาเป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ของกันดั้ม ซึ่งคุณอิมากาว่ามองเห็นว่าเรื่องราวแนวทหารในโลกของกันดั้มเดิมนั้นหนัก เกินไป เขาจึงคิดจะเปลี่ยนให้เรื่องการต่อสู้กันของกันดั้มเป็นเหมือนเกมซึ่งวัย รุ่นสมัยนั้นชอบมากกว่า ผลที่ได้ก็คือ “Mobile Fighter G Gundam” กันดั้มที่แหวกแนวมากที่สุดจากทุกซีรีส์ ทั้งเนื้อหาและการดีไซน์ที่เปลี่ยนให้กันดั้มเป็นเหมือนนักสู้ตัวแทนแต่ละ ประเทศมาต่อสู้กัน แทนที่จะเป็นเรื่องของกองทัพต่อกองทัพแทน ในแง่ของการผลิตพลาโมก็มีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน เนื่องจากว่ากันพลาในชุดของ G Gundam นี้ต้องอาศัยการโพสท่าที่มากกว่าเดิม ทำให้ระบบ V Frame ที่เคยใช้ใน V Gundam ต้องยกเลิกเปลี่ยนเป็นแบบ Polycap แทน ซึ่งมาตรฐานการใช้การเชื่อมต่อแบบ Polycap นี้จะถูกใช้ไปจนถึง Gundam Wing และ Gundam X เลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือเรื่องของการออกชุด Grade Up Set ซึ่งเป็นชิ้นส่วนเสริมสำหรับเปลี่ยนให้กันพลาสเกล 1/144 ของ G Gundam สามารถแสดงท่าไม้ตายออกมาได้นั่นเองนอกจากนี้ผลงานพลาโมสเกล 1/100 แบบ HG ของชุด G Gundam นี้ก็มีรายละเอียดรวมถึงลูกเล่นมากพอที่จะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับชุด MG ที่จะเปิดตัวในปีถัดไปเลยทีเดียว


                           ปี 1995 หลังจากการกลับมาฉายทางจอทีวีของ V Gundam และมีฉายมาอย่างต่อเนื่องทำให้กระแสของกันพลากลับมาอีกครั้งในหมู่เด็กๆ โดยเฉพาะกับการฉายของ “New Mobile Report Gundam Wing” ซึ่งนำเนื้อเรื่องเกี่ยวกับแนวกองทัพกลับมาใช้อีกครั้ง แต่คราวนี้เพิ่มเติมความเป็นไอด้อลเข้าไปด้วย การกำหนดให้ตัวเอกที่ขับกัน ดั้มมีมากถึง 5 คน ทำให้ไม่แปลกที่คนจะเลือกซื้อกันดั้มทีละหลายๆ ตัว แทนที่จะต้องซื้อเพียงแค่ตัวเอกตัวเดียวเหมือนเมื่อก่อน แต่สำหรับนักเล่นมืออาชีพแล้วก็ไม่รู้สึกพอใจกับสินค้าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มากนัก แถมกระแสของการเล่นโมเดลนั้นก็หันเหไปทางงานแบบการาจคิท (Garage Kit) เพิ่มขึ้นด้วย BANDAI จึงได้จับมือร่วมกับทางนิตยสาร Hobby Japan เพื่อช่วยในเรื่องการออกแบบสินค้าตัวใหม่ซึ่งมีสัดส่วนที่สมจริงและถูกใจคน เล่นโมเดลยิ่งกว่าเดิม จนในงาน JAF CONIII ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนก.ค. ก็ได้มีการประกาศเปิดตัวกันพลาซีรีส์ใหม่ที่ถูกเรียกว่า MG (Master Grade) ขึ้นเพื่อฉลองการครบรอบ 15 ปีของการวางจำหน่ายกันพลา ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าด้วยการออกแบบต้นแบบของกันพลาด้วย 3DCAD ทำให้กันพลาซีรีส์ MG ออกมาสวยงามและทำให้นักเล่นซึ่งมีอายุและเติบโตมากับการซื้อกันพลาในสมัย ก่อนเปลี่ยนมาเล่นกันพลาซีรีส์นี้แทบจะทันที


                           ปี 1996 อาจจะเป็นปีที่แฟนๆ ซีรีส์กันดั้มยุคใหม่อาจจะไม่อยากจำกันมากนักเนื่องจากการที่ “After War Gundam X” ซึ่งออกฉายในปีนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จซักเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบกันดั้มภาคเก่านั้น OVA ชุด “Mobile Suit Gundam MS08th team” ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว ส่วนในแง่ของ พลาโมนั้นปีนี้สินค้าที่ออกใหม่ก็มีเพียงแค่ซีรีส์ (LM) Limited Model ซึ่งเป็นพลาโมที่ออกมาแบบเฉพาะกิจสำหรับโมบิลสูทหรือพาหนะที่ดูแล้วไม่ค่อย มีบทบาทมากนัก หรือ ออกให้กับอนิเมเรื่องอื่นไปเลยอาทิเช่น อีวานเกเลี่ยนเป็นต้น ซึ่งภายหลังซีรีส์ LM นี้ก็จะพัฒนากลายเป็น EX Model ในภายหลัง


                        1997 BANDAI ที่ยังคงเล็งเห็นความนิยมอย่างต่อเนื่องของ Gundam Wing จึงตัดสินใจสานต่อเรื่องราวความสำเร็จของซีรีส์นี้อีกครั้งด้วยการออก OVA ชุด Gundam Wing Endless Waltz ออกมา โดยได้ว่าจ้างให้คุณคาโตกิ ฮาจิเมะเป็นผู้นำเอากันดั้มทั้ง 5 ตัวซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องมาออกแบบใหม่ทั้งหมดซึ่งก็ทำให้เหล่าแฟนๆ นั้นพอใจกันเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ก็ยังมีการแตกขยายเนื้อเรื่องของ Gundam Wing ออกไปด้วยการเสริมเรื่องราวในการ์ตูนชุด “New Mobile Report Gundam Wing Duel Story G-Unit” ที่เขียนโดยอ.โทคิตะ โคอิจิซึ่งตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Bon Bon และในซีรีส์นี้เองที่เราจะได้เห็นกันดั้มพิสดารมากมายที่แปลงร่างได้หลายรูป แบบ ซึ่งเป็นไอเดียที่ควรจะทำได้เฉพาะในการ์ตูน แต่ BANDAI ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถทำสินค้าเหล่านี้ออกมาได้จริง


                      1998 หลังจากการออกฉายของ “Shinseiki Evangelion” กระแสของฟิกเกอร์โมเดลจากคาแรคเตอร์พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด รวมถึงกระแสในงานอดิเรกรูปแบบอื่นๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเพื่อตอกย้ำในความเป็นผู้นำและบอกจุดยืนของตัวเองว่า การเล่นกันพลานั้นไกลเกินกว่าที่จะเป็นเพียงแค่งานอดิเรกรูปแบบหนึ่ง และแม้คุณจะไม่ได้ดูอนิเมของกันดั้มเลยก็สนุกกับมันได้ ทาง BANDAI จึงได้ออกสินค้าที่เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่สุดยอดที่สุดจนถึงปัจจุบันอย่าง PG (Perfect Grade) RX-78 Gundam ออกมา ด้วยชิ้นส่วนมากกว่า 600 ชิ้นและสเกล 1/60 ทำให้แฟนๆ นั้นพอใจกับสินค้าชุดนี้ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ในปีนี้ก็มีการออกวางจำหน่ายเกมส์ SD GUNDAM G Generation บนเครื่อง Playstation ทำให้พลาโมเกี่ยวกับ SD Gundam ซีรีส์ใหม่ก็ถูกวางจำหน่ายในชื่อเดียวกัน โดยจะเน้นออกเฉพาะแต่โมบิลสูทแปลกๆ ที่มีความโดดเด่นจากในตัวเกมซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการออกวางจำหน่ายชุดใหม่ ต่อจาก หมายเลข 63 CROSSBONE GUNDAM X-2 ด้วย

ในตอนหน้าเราจะไปติดตามกันต่อกับเรื่องราวของกันดั้มและพัฒนาการของกันพลา จะเป็นอย่างไรต้องรอติดตามนะคะ

ขอขอบคุณ              - ข้อมูลต่างๆ จากwww.online-station.net
Credit รูปภาพจาก   - http://gundam.wikia.com 
                              - www.1999.co.jp 
                              - จากเวปต่างๆ ใน google